การหาตลาด
ลำไผ่
- ตลาดก่อสร้าง / งานไม้ไผ่โครงสร้าง เช่น ลำไผ่ซางหม่น ไผ่ตง ลำตรง แข็งแรง ใช้ในงานรีสอร์ต งานตกแต่ง อาคารไม้ไผ่
- ตลาดจักสาน / งานหัตถกรรม ลำไผ่เปลือกบาง เช่น ไผ่สีสุก ไผ่นวล ไผ่บง จำหน่ายแก่กลุ่มช่างจักสาน ชุมชน หรือโรงงานจักสาน
- ตลาดไม้ประดับ–ตกแต่ง ลำไผ่สีพิเศษ เช่น ไผ่ดำ ไผ่เลี้ยงลาย ไผ่เหลือง ตลาดร้านต้นไม้ ร้านกาแฟ สวนตกแต่งบ้าน
- ทางโซเชียล เช่น เฟสบุ๊ค ไลน์ ติ๊กต๊อก เว็บไซด์
- ขายตรงร้านค้าผู้ประกอบการขายลำไผ่
- โรงงานแปรรูป เช่น ไผ่แช่น้ำยา ไผ่อัดน้ำยา งานเฟอร์นิเจอร์ งานตะเกียบ ไม้เสียบลูกชิ้น
- ขายผ่านนายหน้า ผ่านคนรับซื้อรับตัดไผ่
หน่อ
- ตลาดสด / ตลาดชุมชน : ขายหน่อสดช่วงเช้า–เย็น วันต่อวัน ใช้พันธุ์ไผ่หวาน เช่น ไผ่เลี้ยงหวาน กิมซุง ตงศรีประจัน
- ร้านอาหาร / โรงงานอาหารแปรรูป : ส่งหน่อสดจำนวนมากแบบคัดเกรด ต้องมีระบบบรรจุ–ขนส่ง (รถห้องเย็น หรือกล่องโฟม)
- ตลาดออนไลน์ / ขายตรงผู้บริโภค : ส่งหน่อแบบปอกเปลือกหรือหน่อแปรรูปพร้อมปรุง ต้องมีเรื่องการสร้างแบรนด์–บรรจุภัณฑ์น่าสนใจ
- ขายเองผ่านช่องการขายทางโซเชียล ขายในพื้นที่ใกล้เคียง
- ขายส่งตลาดหลัก ๆ เช่น สี่มุมเมือง ตลาดไท
- รวมกลุ่มขาย เช่น วิสาหกิจชุมชน
แนวทางหาตลาดเพิ่ม
- เข้าร่วมกลุ่มเกษตรกรขายออนไลน์ (เช่น ไผ่เศรษฐกิจ, เกษตรปลอดภัย)
- ทำ Facebook Page / LINE OA ของสวนไผ่
- ทดลองออกบูธสินค้าเกษตรในพื้นที่จังหวัด / งานอีเวนต์ OTOP
- จับกลุ่มกับร้านอาหารท้องถิ่น/รีสอร์ต ส่งตรงแบบรายสัปดาห์
การกำหนดราคา
1. ปัจจัยที่ใช้ในการกำหนดราคา
- พันธุ์ไผ่ : พันธุ์หายาก / ลำใหญ่ / หน่อหวานราคาจะสูง
- ฤดูกาล : หน่อไผ่ฤดูฝนราคาถูก (หน่อออกเยอะ) ฤดูแล้งราคาสูง
- คุณภาพสินค้า : หน่ออ่อน ขนาดพอเหมาะ ปอกง่าย / ลำตรง ไม่แตก
- ต้นทุนการผลิต : รวมค่าขนส่ง ปุ๋ย แรงงาน / ถ้าแปรรูป ต้องรวมค่าแพ็กเกจ
- ตลาดเป้าหมาย : ตลาดค้าส่งราคาจะต่ำกว่าออนไลน์ / ขายตรงผู้บริโภค
2. กำหนดเอง ขายปลีก ขายส่ง ขายที่สวน ขายรวมค่าขนส่ง
3. อ้างอิงจากร้านค้า หรือผู้ประกอบการที่มีอยู่แล้ว
4. การกำหนดราคาควรอิงจากต้นทุนจริง + ค่าแรง + ค่าขนส่ง + มูลค่าเพิ่มจากการแปรรูปหรือแบรนด์
5. ตัวอย่างราคาขาย (โดยประมาณ ปี 2567–2568)
ประเภท | ราคาต่อหน่วย |
---|---|
หน่อไผ่สด (ตลาดชุมชน) | 10–25 บาท/กก. |
หน่อไผ่หวานปอกเปลือกพร้อมส่ง | 40–60 บาท/กก. |
หน่อไม้ดอง (บรรจุขวด 500 มล.) | 30–50 บาท |
ลำไผ่สด (ใช้โครงสร้าง/งานช่าง) | 15–50 บาท/ลำ (แล้วแต่ขนาด/พันธุ์) |
ลำไผ่พรีเมียม (ตกแต่ง/เฟอร์นิเจอร์) | 80–300 บาท/ลำ |
ชาใบไผ่แห้ง (20 ซอง) | 60–150 บาท |
การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไผ่สามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นกับวัตถุประสงค์ เช่น เก็บหน่อเพื่อบริโภค–จำหน่าย, ตัดลำใช้ในงานก่อสร้าง–จักสาน, หรือใช้กิ่ง–เหง้าเพื่อขยายพันธุ์
การตัดหน่อ
- เริ่มตัดได้หลังจากปลูก 1.5–2 ปีขึ้นไป
- เก็บในช่วง ต้นฤดูฝน – ปลายฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงแตกหน่อมากที่สุด
- ตัดหน่อช่วงเช้าจะได้คุณภาพดี อย่าให้โดนแดด เพื่อลดการสูญเสียน้ำ
- ตัดหน่อสูง 20-60 ซม.แล้วแต่ชนิดไผ่
- ตัดหน่อ 60-70% ของปริมาณหน่อที่ออก
- หน่อเล็กตัดด้วยมีดสแตนเลส หน่อใหญ่ตัดด้วยเสียม
- ใช้มีดตัดให้ชิดพื้น (ไม่ให้ตัดลึกจนโดนเหง้า)
- หลีกเลี่ยงการเหยียบหรือหักหน่อจากโคน เพราะจะทำให้เหง้าเสียหาย
- คัดเลือกหน่อสมบูรณ์ ปลายแหลม เปลือกใส
การตัดลำไผ่
- ตัดลำที่อายุ 2.5 - 3 ปี เป็นช่วงที่เนื้อไม้แน่น แข็งแรง เหมาะกับงานโครงสร้างและจักสาน
- หากตัดอายุน้อยเกินไป ลำจะอ่อน เปราะ และหดตัวมากเมื่อแห้ง
- ตัดช่วงโคนติดพื้นให้ได้มากที่สุด
- ตัดลำไผ่ช่วงหน้าแล้งดีที่สุด
- ตัดลำปิดข้อทั้งโคนทั้งปลาย กันลำแตกช่วงขนย้าย
- คัดเฉพาะลำที่ตรง แข็งแรง ไม่มีรอยแตกหรือโรค
- ตัดเฉพาะลำแก่ในแต่ละกอ ไม่ตัดลำอ่อนหรือใหม่เกินไป
- หลังตัด ควรนำไปบ่ม หรือตากลดความชื้นก่อนใช้งานหรือส่งจำหน่าย
การตัดกิ่งชำ
- ตัดจากลำไผ่อายุ 8–12 เดือน (ยังเขียว ไม่แก่)
- ตัดเฉียงเล็กน้อยใต้ข้อล่างเพื่อให้ออกรากง่าย
- กิ่งชำที่ดีจะต้องมีตาสมบูรณ์ ไม่แห้ง ไม่บอด
- ควรตัดในช่วงเช้า และชำทันทีหรือแช่น้ำก่อนชำ หากไม่ใช้ทันที ควรเก็บในที่ร่มและพรมน้ำเป็นระยะ
- ตัดให้ติดลำต้นหรือติดข้อด้วยยิ่งดี
- ตัดกิ่งชำที่ไม่อ่อนเกินไป (กาบหลุด) และไม่แก่เกินไป (สีเริ่มเหลือง)
- ตัดใบออกให้หมดกันคายน้ำ
- ตัดยาว 3 - 4 ข้อ จากช่วงโคนกิ่ง
การขุดเหง้า
- ขุดเหง้า ควรเริ่มเดือนมีนาคม – พฤษภาคม
- ดินยังชื้น ขุดง่าย และเหง้ายังไม่หยุดเจริญเติบโต
- ลำที่ขุด ต้องเป็นลำของปีล่าสุด
- ใช้จอบหรือเสียมขุดลึกประมาณ 30–50 ซม. โดยรอบ
- เลือกเหง้าที่มี รากหลัก + ตา + หน่ออ่อน อย่างน้อย 1–2 ตา
- ตัดสูง 0.50 - 1.00 ม.
- ตัดใบออกให้หมด
- ตัดลำสูงจากข้อไม่เกิน 5 ซม.
- เหง้าที่ขุดแล้วควรชำทันที หรือคลุมวัสดุชื้นเพื่อป้องกันรากแห้ง
แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ
- วางแผนตัดแบบหมุนเวียน แยกแปลงหรือหมุนกอ เพื่อไม่ให้กอใดกอหนึ่งโทรม
- จดบันทึกอายุลำ/หน่อ เพื่อใช้วางแผนเก็บเกี่ยวล่วงหน้า
- ใช้เครื่องมือที่ สะอาด คม และเหมาะสม เช่น มีดเคียว, เลื่อยญี่ปุ่น
- หากทำเชิงธุรกิจ ควรจัด พื้นที่พักผลผลิต (ตัด–ล้าง–บ่ม–บรรจุ) ให้เป็นระบบ
- เก็บหน่อเช้า–เย็น ใส่กระสอบ/ลังโปร่ง คลุมผ้าเปียกและแช่เย็นเพื่อยืดอายุ
- ตัดลำในช่วงเดือนที่เหมาะสม (เช่น ฤดูหนาว ลำจะแข็งแรง น้ำในลำต่ำ) เพื่อลดการหดตัว/บิดตัวหลังตัด
ระบบน้ำ การให้น้ำ (ปริมาณความต้องการน้ำ ในแต่ละช่วงเดือน)
รูปแบบการให้น้ำ
- ช่วงแรกหลังปลูก (0–3 เดือน)
- ให้น้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน
- ใช้ watering can หรือระบบหยด
- หลังตั้งตัวแล้ว (3 เดือนขึ้นไป)
- ให้น้ำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง หรือมากกว่านั้นในฤดูแล้ง
- ควรให้น้ำลึกถึงราก (อย่างน้อย 20 ซม.)
- ระบบน้ำที่เหมาะสม
- ระบบน้ำหยด ใช้กรณีแหล่งน้ำมีน้อย ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่งน้ำตรงโคน
- ระบบมินิสปริงเกอร์ เหมาะกับพื้นที่ขนาดกลาง-ใหญ่ แหล่งน้ำมีพอทำระบบ ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง น้ำพอสำหรับไผ่ที่ปลูก
- การให้น้ำด้วยแรงงานคน สำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก หรือสวนครัว
- ไผ่เป็นพืชที่ตอบสนองต่อความชื้นสูง หากขาดน้ำจะไม่แตกหน่อ ไม่แตกกอ และชะงักการเจริญเติบโต
การใส่ปุ๋ย
- ช่วงแรก (ปลูกใหม่ – 6 เดือน)
- ปุ๋ยคอกเก่า 0.5 – 1 กก./ต้น ทุก 30 วัน
- ปุ๋ยอินทรีย์หมักจุลินทรีย์ชีวภาพ (หยอดรอบโคนหรือราดน้ำ)
- ช่วงเร่งการแตกหน่อ / แตกลำ
- สูตร NPK เช่น 15-15-15 หรือ 13-13-21 อัตรา 50–100 กรัม/ต้น/เดือน
- ปุ๋ยหมักหรือขี้วัว 1–2 กก./ต้น ทุก 2–3 เดือน
- ช่วงบำรุงลำ / ก่อนเก็บเกี่ยว
เพิ่มโพแทสเซียม (K) เช่น 0-0-60 หรือขี้เถ้าแกลบ เพื่อให้ลำไผ่เหนียว ไม่เปราะ - ระยะเวลาการใส่ปุ๋ย
ปีละ 2 - 3 ครั้ง ช่วงฤดูฝน หรือฤดูร้อน (หน้าแล้ง) ที่ให้ระบบน้ำ - ไผ่ตอบสนองดีต่อ ธาตุอาหารหลักและอินทรียวัตถุ ควรใส่ปุ๋ยต่อเนื่องเป็นประจำ
การสางกอ
- ทำเมื่อกอมีอายุ 2 ปีขึ้นไป และมีลำหนาแน่นเกินไป
- ตัดลำแก่ (อายุเกิน 3 ปี) และลำที่คด งอ ไม่สมบูรณ์
- เว้นลำอายุ 1–2 ปี ที่สมบูรณ์ไว้สำหรับใช้ขยายพันธุ์หรือเก็บผลผลิต
- ควรตัดในฤดูแล้งหรือต้นฤดูฝน และเว้นการตัดในช่วงไผ่ออกหน่อ
- ประโยชน์ของการสางกอ
- เพิ่มการถ่ายเทอากาศ
- ลดการระบาดของโรค–แมลง
- กระตุ้นให้กอแตกหน่อใหม่ และมีคุณภาพดีขึ้น
- ทำให้ไผ่มีฟอร์มสวย ลำตรง เหมาะสำหรับใช้ลำหรือตัดหน่อ
- แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพ
- คลุมโคนไผ่ด้วยฟางหรือใบไม้แห้ง เพื่อรักษาความชื้นและเพิ่มอินทรียวัตถุ
- ใช้ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือไตรโคเดอร์มา เพื่อป้องกันเชื้อราและบำรุงดิน
- วาง ระบบให้น้ำแบบประหยัด ที่เปิด–ปิดอัตโนมัติ เช่น สปริงเกลอร์ตั้งเวลา
- ทำปฏิทินการใส่ปุ๋ย–สางกอ–ตัดหน่อ เพื่อควบคุมคุณภาพและผลผลิต
- ใช้การบันทึกข้อมูลแต่ละกอ (เช่น QR code) เพื่อติดตามอายุและการดูแลรายต้น